การใช้คอมพิวเตอร์ในการศึกษาและวิจัยด้าน การแพทย์
การใช้คอมพิวเตอร์ในการศึกษาและวิจัยด้าน การแพทย์
ในด้านการศึกษาและการวิจัยนั้น คอมพิวเตอร์มีบทบาทเป็นอย่างมากต่อการพัฒนาและศึกษาองค์ความรู้ใหม่ของทุกสาขาวิชา โดยเฉพาะสาขาทางการแพทย์ คอมพิวเตอร์จะมีผลอย่างมากต่อการทำงานที่ถูกต้องแม่นยำของเครื่องมือและอุปกรณ์การแพทย์ที่ใช้เทคโนโลยีชั้นสูงชนิดต่างๆ ซึ่งจะเป็นผลต่อเนื่องต่อความน่าเชื่อถือของการนำผลที่ได้นั้นมาช่วยในการวินิจฉัยโรคของแพทย์หรือความน่าเชื่อถือของการนำเครื่องมือแพทย์ชนิดนั้นมาให้การรักษาโรคแก่ผู้ป่วย การวิจัยทางการแพทย์ทั้งหลายจึงมุ่งเน้นพัฒนาเครื่องมือ องค์ความรู้และวิธีการต่าง เพื่อนำมาใช้ในการรักษาโรคหรืออำนวยความสะดวกต่อบุคคลากรทางการแพทย์และผู้ป่วยให้มากที่สุด
ปัจจุบันมีความพยายามพัฒนาคอมพิวเตอร์ให้มีความสามารถในการตัดสินใจและเรียนรู้ได้ด้วยตนเองที่เรียกว่า ปัญญาประดิษฐ์ ขึ้น เพื่อช่วยลดภาระงานบางอย่างของมนุษย์ลง เช่น งานวิจัยด้านหุ่นยนต์ชนิดต่างๆ การใช้คอมพิวเตอร์สร้างแบบจำลองด้านการแพทย์ต่างๆ เช่น แบบจำลองการระบาดของโรค การใช้คอมพิวเตอร์สร้างภาพจำลองสามมิติของร่างกายมนุษย์เพื่อให้แพทย์ตรวจวินิจฉัยโรคและทำการรักษาได้ง่ายขึ้นหรือแม้กระทั่งโครงการวิจัยทางโทรเวชต่างๆ ซึ่งได้รับการวิจัยและพัฒนาอย่างจริงจัง
ระบบการแพทย์อัจฉริยะ
ระบบการแพทย์อัจฉริยะสามารถแบ่งออกได้ดังนี้
(1) ระบบภาพทางการแพทย์
เป็นงานวิจัยเพื่อพัฒนาอัลกอริธึมต่างๆ ที่ใช้ในการสร้างภาพทางการแพทย์ขึ้น เพื่อมุ่งเน้นผลสัมฤทธิ์ด้านการวินิจฉัยและการให้การรักษาพยาบาลแก่ผู้ป่วย ในที่นี้จะกล่าวแยกเป็น 2 ด้านพอสังเขป คือ
ระบบการสร้างภาพ 3 มิติสำหรับการวินิจฉัยและประกอบการรักษา
- เป็นการสร้างภาพ 3 มิติของผู้ป่วย จากเครื่องถ่ายภาพทางรังสีชนิดต่างๆ
- ระบบการสร้างภาพจำลอง 3 มิติ เพื่อช่วยวางแผนการรักษา
เป็นการสร้างภาพจำลอง 3 มิติ ขึ้นเพื่อช่วยวางแผนการรักษา เช่น งานทันตกรมรากฟันเทียม จากเดิมที่ใช้เพียงความชำนาญและประสบการณ์ของทันตแพทย์ในการรักษา ก็จะใช้ภาพจากเครื่อง CT scan ซึ่งเป็นข้อมูล 3 มิติซึ่งมีความถูกต้องมาใช้ในการวางแผนการรักษา โดยใช้โปรแกรมช่วงวางแผนการผ่าตัดรากฟันเทียมจำลองภาพตำแหน่งของรากฟันที่ต้องการฝัง โดยสามารถจะนำไปใช้ในการผ่าตัดได้โดยตรง หรือนำแผนที่วางไว้ไปออกแบบเป็น Drill Guide หรือทำงานร่วมกับระบบนำทางระหว่างการผ่าตัดก็ได้
สำหรับงานด้านการรักษาโรค โดยเฉพาะโรคมะเร็งซึ่งอยู่ในตำแหน่งที่ไม่สามารถทำการผ่าตัดได้ เช่น บริเวณใต้ฐานสมอง ก็จะใช้ภาพสามมิติที่ได้จากเครื่อง MRI เป็นตัวบ่งชี้ตำแหน่งและใช้เทคนิคการผ่าตัดมะเร็งด้วยรังสีแกมม่า ฉายรังสีแกมม่าเป็นบีมเล็กๆ จากหลายๆ มุมของศีรษะไปฆ่าเซลล์มะเร็งเพื่อหลบเลี่ยงอวัยวะสำคัญ
(2) ระบบติดตามผู้ป่วย
สามารถแบ่งออกได้ 2 ด้าน คือ
- Care Monitoring เป็นการติดตั้งเครื่องมือขนาดเล็กที่ข้างเตียงสำหรับติดตามดูสัญญาณชีพต่างๆ ของผู้ป่วยหนักที่ต้องการดูแลอย่างใกล้ชิด เชื่อมโยงกับระบบเครือข่ายแบบมีสายหรือแบบไร้สายหรือใช้ติดตัวผู้ป่วยที่ไม่ต้องการอยู่โรงพยาบาลนาน โดยเครื่องนี้จะทำหน้าที่ส่งข้อมูลต่างๆ ให้แพทย์ได้ทราบตลอดเวลา เช่น คลื่นไฟฟ้าหัวใจ เป็นต้น
- Home Monitoring เป็นการติดตามผลการรักษาของผู้ป่วยที่ออกจากโรงพยาบาลหรือกลับไปพักฟื้นที่บ้าน โดยระบบจะส่งข้อมูลที่แพทย์ต้องการกลับไปยังศูนย์การแพทย์หรือโรงพยาบาลผ่านทางระบบเครือข่ายได้
(3) ระบบโทรเวช
เริ่มมีบทบาทมากขึ้น เมื่อระบบโครงสร้างพื้นฐานทางเทคโนโลยีของแต่ละประเทศมีความพร้อมมากขึ้น มีส่วนประกอบที่สำคัญคือ ระบบรับ - ส่งภาพ ระบบประมวลผลภาพและระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ เนื่องจากในปัจจุบันเทคโนโลยีระบบเครือข่ายนั้นมีความเร็วสูงขึ้นอย่างมาก นอกจากจะทำให้การรับ – ภาพทางการแพทย์ทำได้อย่างรวดเร็วขึ้น ยังสามารถประยุกต์ใช้งานได้กว้างขวาง เช่น การผ่าตัดทางไกลผ่านหุ่นยนต์ช่วยผ่าตัด การใช้เทคนิค VDO conference เพื่อช่วงวางแผนการผ่าตัดของแพทย์จากต่างสถานที่ เป็นต้น
สำหรับงานวิจัยด้านระบบโทรเวชนั้น มุ่งเน้นให้การดูแลรักษาสำหรับประชาชนในพื้นที่ห่างไกล การสร้างความร่วมมือแบบเครือข่ายเพื่อเปลี่ยนความรู้ทางการแพทย์ สร้างความสะดวกสบายต่อผู้ป่วยในบางโรคที่อาจไม่ต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล
อ้างอิง
https://bit.ly/2IZ2XAK
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น